ดา
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Why be ordinary when you can be extraordinary?
วันนี้อยากให้เขียนบล็อกกำลังใจทุกคนค่ะ เขาว่ากันว่าเราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะคะฉันไม่ได้หมายความว่าเราเป็นหิ่งห้อยซะหน่อย แต่เราทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัวต่างหาก หามันให้เจอแล้วอย่าเก็บมันไว้นะคะ มีดีต้องแสดง ฉันว่าเราไม่ต้องการอะไรมากหรอก การยอมรับ คนที่รายล้อมเข้าใจเรามันไม่ซับซ้อนนะคะเคยย้ำตลอดว่าอย่าทำอะไรให้มันซับซ้อนเลย ฉันเคยเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองค่ะหากย้อนไปดูสมุดพกตอนเด็กๆครูจะเขียนทุกเทอมว่าไม่กล้าแสดงออก เวลาเล่นกีฬา ทำกิจกรรม(ประถม)ไม่มีชื่อฉันแน่นอน อายมาก เคยไปหาหมอแล้วหมอดุด้วย ร้องไห้เลย ตอนขี้อายฉันจะคิดเสมอว่าก็ฉันอยู่ของฉันนี่ ทำไมจะต้องมายุ่ง ทำไมต้องมีการไปอ่านข่าวสั้นหน้าห้อง(อนุบาลลำปางมีนะคะ) อ่านทำนองเสนาะ บลาๆๆๆทุกอย่างฉันจะถามตัวเองว่าทำไมเสมอๆ กิจกรรมที่ต้องอาศัยความกล้าแสดงออกมีเยอะมาก ความขี้อายนี้ติดมากับฉันจนกระทั่ง....ม.ปลายเลือกยกตัวอย่างช่วงอายุนี้เพราะเป็นช่วงที่ชัดเจนที่สุดแม้ช่วงประถม ๔และ๕และ๖จะดีขึ้นมากพออะไรๆเริ่มลงตัวเรากลับต้องแยกย้ายซะอีกและเพราะตอนม.ต้นก็ยังไม่กล้าแสดงออกแบบชัดเจนนะคะย้ายโรงเรียนมาใหม่ เจอเพื่อนใหม่(หน้าเก่าจากโรงเรียนเดิม) มันไม่ชินอะค่ะ อยู่ห้องควีนแบบฟลุคๆ แต่ยังนั่งหลังห้องไม่ยุ่งกับใครเหมือนเดิม แต่ม.ปลายของฉันทำให้ฉันพบว่าความมั่นใจมันจำเป็นต้องมี ทำไมเราเป็นแค่Somebodyล่ะคะ ในขณะที่เราเป็นThe special oneได้ ฉันได้รับโอกาสได้ช่วยโรงเรียนทำกิจกรรม เริ่มสนุกแล้วก็เสียดายเวลาที่อยู่ในมุมมืดอยู่ได้ตั้งนาน พอได้ทำก็เริ่มสนุก ฉันได้รับมอบหมายหน้าที่ง่ายๆคือเปิดเพลงก่อนเวลาเเปดนาฬิกา หลังจากนั้นก็นำสวดมนต์ ทำงานอื่นๆอีกหลายอย่างจนได้เป็นหัวหน้าประชาสัมพันธ์ นี่ไงคะฉันกำลังจะบอกว่าเราทุกคนมีดีซ่อนอยู่ในตัว อย่าให้เป็นแบบฉันที่กว่าจะหลุดจากมุมมืดได้ก็ม.ปลายแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้นะคะ อย่าท้อนะคะ มันอาจยากแต่มันก็ทำได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเลย
ดา
ดา
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Reflection
เรื่องที่ฉันจะเขียนวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพลงค่ะ นั่นคือเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง มู่หลานตอนที่ได้ชมจำได้ว่าเด็กมากๆเป็นหนังที่อ้างอิงถึงหญิงสาวที่ปลอมตัวมารบเพื่อช่วยชาติ ต้องตัดผมขโมยชุดเกราะทหารแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันจะกล่าวถึงหากเเต่เป็นความหมายของเพลงประกอบต่างหาก ฉันโชคดีอีกแล้วค่ะที่เกิดมาในยุคที่เพลงประกอบภาพยนตร์นั้นไพเราะหลายเพลงมากๆ อย่างHow do I live? จากConair,Kiss me จาก She's all that ไว้จะเขียนถึงในคราวต่อๆไปนะคะ กลับมาที่เพลงนี้กันดีกว่า ความหมายของเพลงนี้ช่างตรงกับชีวิตของคนในปัจจุบันค่ะ หลายคนหลงทางในการใช้ชีวิตอยู่ หลายคนไม่เคยเลยที่จะลองมองกระจกนานๆแล้วทำความรู้จักกับคนในกระจก มีประโยคหนึ่งของเพลโต้ที่ฉันชอบและน่าจะกำจัดความหมายของเพลงได้ดีที่สุดคือ อย่าเสียเวลามองหาตัวตนของตัวเองเลย มันไม่มีหรอก จงสร้างมันขึ้นมาสิ โลกเราสับสนวกวนนะคะ คนเราร้อยพ่อพันแม่ บางครั้งคนที่คุณพบเจออาจกำลังใส่หน้ากากแล้วแสดงเฉพาะแต่ด้านที่เขาอยากให้คุณเห็นก็ได้นะคะ เหมือนในเนื้อเพลงที่บอกว่าตัวเองกำลังใส่หน้ากาก
Now I see
ตอนนี้ฉันเห็นแล้ว
If I wear a mask
ว่าถ้าฉันใส่หน้ากาก
I can fool the world
ฉันสามารถโกหกทั้งโลกได้
มันจริงค่ะ จริงที่สุดเพราะอะไรน่ะหรือเพราะเราเลิกใส่ใจเนื้อแท้กันแล้วเราใส่ใจเพียงแค่สิ่งที่เราอยาก เราปล่อยให้คนที่เข้ามาเป็นเพียงแค่สายลมผ่านพัด หากเขาไม่มีประโยชน์กับเรา คุณก็จะทำให้เขาหล่นหายไปตามทาง การที่เราใส่หน้ากากกลายเป็นเรื่องที่ใครก็ทำกัน
But I can not fool my heart
แต่ฉันไม่สามารถโกหกหัวใจของฉัน
Who is that girl I see Staring straight back at me ?
ใครคือเด็กหญิงที่ฉันเห็น เธอจ้องมองตรงมาที่ฉัน ?
When will my reflection show
เมื่อกระจกเงาฉายภาพสะท้อนของฉัน
Who I am inside ?
ตัวตนที่แท้ของฉันคือใคร ?
เนื้อเพลงท่อนต่อมาท่อนนี้ชัดเจนที่สุดค่ะว่าเมื่อเราใส่หน้ากากจนมันกลายเป็นความเคยชิน ใช่เราอาจหลอกคนทั้งโลกได้แต่แท้จริงแล้วตัวตนของเราล่ะเป็นแบบไหน ฝากไว้ให้ได้คิดค่ะ ทุกครั้งที่ส่องกระจกลองมองให้มันนานขึ้น สำรวจตัวเองสำรวจจิตใจของเรานะคะ โชคดีค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)